Saturday, January 6, 2018

Your gravity #Hwangwoo

             
Your gravity
Hwang Minhyun x Park Woojin
bgm : I miss you - Adele




warning :  kinky af

(noted: light dom/sub, breath playing)

           
        “ว่าไงครับพี่เขย”

            ในทันทีที่แขกผู้มาเยือนปิดประตูลง ก็กดล็อคอย่างเงียบเชียบเหมือนทุกครั้งที่อีกฝ่ายย่างกรายเข้ามาในห้องนี้ เขานั่งอยู่บนเตียง มินฮยอนยังไม่ถอดสูทออกเลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายเพิ่งลงเครื่องมาวันนี้ก็ตรงดิ่งมาร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวเขาเลย แววความอิดโรยบนใบหน้าทำให้ในใจเขานึกสงสารชั่วขณะหนึ่ง ชั่วขณะเดียวเท่านั้น เพราะอะไรที่เขาเจอวันนี้ เป็นอะไรที่น่าหัวเสียกว่ามาก
            มินฮยอนมองมาหลังจากที่เขาร้องทัก ถอนหายใจออกมาบางเบา จากนั้นจึงค่อยถอดสูทตัวนอกออก พับ พาดมันไว้ที่แขนข้างหนึ่งขณะเดินเข้ามาใกล้ ฟูกยวบลงและสั่นไปมาเมื่ออีกคนหย่อนตัวลงนั่ง “ยังไม่ง่วงเหรอ”
            “พี่สาวผมล่ะครับ”
            “เข้านอนแล้ว”
            “เหนื่อยน่าดูเลยครับ พี่เขยเองก็ทำไมไม่ไปพักล่ะ” อูจินยังพูดด้วยน้ำเสียงเดิม ซึ่งหมายถึง – เหน็บแนม ประชดประชัน ไม่พอใจ ซึ่งเขาอดไม่ได้จริงๆ ที่จะเก็บงำมันไว้ไม่เปิดเผยสักเศษเสี้ยว ในเมื่อมีมันอยู่ล้นอกเสียขนาดนี้
            มินฮยอนถอนหายใจอีกครั้งเบา ๆ แต่ก็ยังขยับยิ้ม ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงใจดี  “อูจินอ่า พี่ไม่ได้เจอเราตั้งอาทิตย์นึง เป็นไงบ้าง”
            “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็ดี” อูจินขยับมุมปากเล็กน้อยคล้ายจะยิ้ม แต่ไม่หรอก ไม่ใกล้เคียงเลย “แล้วพี่เขยล่ะครับ เป็นไงบ้าง ตื่นเต้นมั้ย อาทิตย์หน้าจะได้ไปเที่ยวด้วยนี่”
            “ไม่เอาน่า...พี่เขยอะไรกัน”
            คนเด็กกว่าปรายตาขึ้นมองเล็กน้อยก่อนจะก้มมองโทรศัพท์ตามเดิม เพราะมินฮยอนมองเขา ใบหน้าหล่อเหลาที่พอดูใกล้ ๆ ก็ยิ่งเห็นความเหนื่อยล้าในแววตา อีกครั้งที่อูจินรู้สึกแย่ แต่ก็อีกครั้ง – นิดเดียวเท่านั้น
            “ที่นายทำวันนี้บนโต๊ะอาหาร ไม่ดีเลยนะ หงุดหงิดอะไรหืม?” เตียงสั่นเมื่อมินฮยอนเท้าแขนข้างหนึ่งกับฟูก พูดกับเขาด้วยเสียงที่รู้ว่าเขาแพ้ และเขาก็ได้แต่บอกตัวเองว่าไม่ได้อูจิน ไม่ใช่ตอนนี้
            “ขอโทษละกันครับ ผมไม่ค่อยอยากอาหาร แต่ก็ดีแล้วหนิครับที่ผมลุกออกมาก่อน” อูจินยอมรับว่าเขาเองกำลังทำตัวเด็กมาก ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่เขาพยายามปฏิเสธมาตลอด แต่คราวนี้มันช่วยไม่ได้ “พวกผู้ใหญ่เขาจะได้จับคู่พี่กับพี่สาวผมได้สะดวก ใครมันจะไปอยากเป็นก้างขวางคอล่ะครับ”
            มินฮยอนขยับตัวกับที่ ฟูกสั่นไปมา เขาได้ยินเสียงถอนหายใจ ไม่แน่ใจนักว่าหงุดหงิดหรือเหนื่อยหน่าย “พี่กับพี่สาวนายเป็นแค่เพื่อนกัน นายก็รู้”
            “เหรอครับ เหมือนคนอื่นไม่ได้คิดอย่างนั้นนะ” อูจินเริ่มคิ้วขมวด “จัดทริปไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสองขนาดนั้น”
            “พี่ไปดูงาน แล้วผู้ใหญ่เขาก็สั่งมาด้วย พี่ไม่ได้เลือกที่จะไป”
            “อ๋อครับ”
            มินฮยอนเงียบไปอีกครั้ง อูจินไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง แต่เขาได้ยินเสียงสูดหายใจเข้า
            “อูจิน”
            “...”
            “วันนี้เราพูดไม่ดีกับคุณน้าด้วย อย่าลืมไปขอโทษเขา”
            ให้ตายสิ
            เจ้าของชื่อแค่นหัวเราะเหอะ “หมดธุระแล้วใช่มั้ยครับ” ไม่บ่อยนักที่อูจินจะทำตัวแบบนี้ ไม่บ่อยเลย เพราะเราต่างรู้ดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นตามมา แต่ในช่วงเวลาที่ความน้อยเนื้อต่ำใจเข้าทับถมเหตุผลและการยั้งคิดทุกอย่างแบบนี้ คนเด็กกว่าในห้องก็ชักสีหน้าและขึ้นเสียงโดยไม่เงยหน้ามองอีกคนเลยสักนิด เสียงของมินฮยอนสวนกลับมาราบเรียบ ถ้าเพียงเขาสังเกตสักนิด
            “อูจิน”
            “ผมเหนื่อย อยากนอน พี่ออกไปเถอะครับ”
            “อูจิน”
            “...”
            “แบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ”
******
           
            มินฮยอนเป็นคนสุภาพเสมอ ใครบางคนเคยพูดว่าอีกฝ่ายเหมือนคนที่ชีวิตนี้ไม่เคยโกรธใคร แต่อูจินรู้ว่านั้นเป็นเพราะพี่ชายคนนี้เก่งเหลือเกินในการซุกซ่อนทุกอย่างไว้ใต้รอยยิ้ม ความจริงก็คือถ้าอยากรู้ว่ามินฮยอนรู้สึกอย่างไรนั้น- ให้มองตา
            แล้วนอกจากที่อูจินจะเรียนรู้ให้อ่านความรู้สึกของอีกฝ่ายได้จากแววตาแล้ว
            เขายังค้นพบว่าดวงตานั้นมีอำนาจบางอย่าง ที่คล้ายกับแรงดึงดูด ที่หากยิ่งมองจะยิ่งเหมือนถูกดึงลงไป ร่วงหล่นลงไป
            แต่ตอนนี้ มีอำนาจบางอย่างในแววตาคู่นั้นที่ทำให้เขาไม่กล้าจะขยับตัวไปไหน
            และเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก มินฮยอนจึงรู้และจดจำได้ทุกจุดไวสัมผัสที่จะทำให้อูจินตัวอ่อนเหลว แล้วเหมือนว่าคราวนี้ อีกฝ่ายยิ่งวนเวียนเน้นย้ำกับมันเป็นพิเศษอย่างจงใจ อย่างตำแหน่งบนซอกคอที่ทำให้คนเด็กกว่าตัวสั่น มินฮยอนก็ยิ่งซุกไซร้ขบเม้มและดูดดึง แขนของเขาวางนิ่งไว้ข้างตัวอย่างที่เคยชินและสั่งตัวเองให้จำ แต่แรงอารมณ์ทำให้เขาหลุดครางออกมาอย่างห้ามไม่ได้
            “เงียบ”
            แล้วก็แทบจะในเวลาเดียวกันที่มินฮยอนพูดขึ้น เขาก็เย็นเยียบไปถึงไขสันหลัง อีกฝ่ายไม่ได้ตวาดหรือขึ้นเสียงใส่เขาด้วยซ้ำ แต่นั่นก็มากเพียงพอที่ทำให้เขากัดปากตัวเองจนห้อเลือด ใจเขาเต้นระส่ำ ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่านั่นทำให้เขาตื่นเต้น
            “พี่บอกว่ายังไง” ลมหายใจอีกคนปัดเป่าผ่านแผ่นอกเขา เนื้อตัวเปลือยเปล่าเขาสั่นระริก ในตอนที่คนบนร่างค่อยๆ ไล้ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา โดนบ้าง ไม่โดนบ้าง ยิ่งตอนที่พึมพำราวกับจะเตือนกันนั้น อูจินก็ขนลุกชันไปทั้งตัว “ว่าอย่าให้พี่ได้ยินเสียงใช่มั้ย”
            มือของมินฮยอนนั้นติดสากเล็กน้อย ปลายลิ้นของมินฮยอนนั้นเชี่ยวชาญเหลือเกิน ในตอนลูบไล้และบดขยี้ป้านแข็งตึงบนอกเขานั้น ร่างกายเขาแอ่นโค้งขึ้นอย่างซ่านเสียว อีกนิดเขาคงจะได้เลือดอีกครั้งจากการกัดกระพุงแก้ม อูจินจึงป่ายมือขึ้นปิดปากตัวเองไว้
            อีกครั้ง, แทบจะในทันที มินฮยอนดึงมือเขาออก ทั้งที่ปากก็ยังสาละวนอยู่กับการครอบครองยอดอกข้างหนึ่งของเขา มือคนเด็กกว่าร่วงผล็อยตกลงข้างตัวตามเดิม อูจินแทบจะสำลักแรงอารมณ์ที่พุ่งสูง มินฮยอนรังแกจนสาแก่ใจก็ละออกกดจูบไล่ขึ้น...  ไล่ขึ้น... มาจนถึงปากที่เม้มแน่นของคนใต้ร่าง ใช้ปลายนิ้วแตะวางและกดมันลงเบา ๆ อย่างหยอกล้อ บางอย่างในแววตาของมินฮยอนยังคงตรึงเขาไว้ไม่ไปไหน
            “ห้ามโกง”
            “...”
            “นายควรจะรู้จักควบคุมตัวเองก่อนที่หลุดอะไรออกมาจากปากสวยๆ นี่เองบ้าง”
            “...”
            “ถ้านายส่งเสียง...” ปลายนิ้วบนริมฝีปากเขาลากไล้ เกลี่ยไปมา อีกฝ่ายยิ้มอีกแล้ว แต่เมื่อแววตานั้นมองลึกลงมาในตาเขา ราวกับจะกระซิบบอกให้ได้ยินถึงก้นบึ้งของจิตใจ “รู้ใช่มั้ย? นายรู้ว่าพี่ไม่ได้ล้อเล่น”
            และมินฮยอนโน้มลงมา เขาเผยอปากและแหงนหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ คาดหวังจูบอ่อนหวานที่อีกฝ่ายจะป้อนให้ แต่ไม่ อีกฝ่ายแกล้งกันโดยการถอยออกไปเมื่อเขาชะเง้อหา หัวเราะเสียงเบาในลำคอแล้วเลือกที่จะกลับมาเล่นสนุกกับร่างกายของเขาอีกครั้ง
             และมันรู้สึกดีเหลือเกิน ริมฝีปากและความชื้นแฉะของจูบ การบีบเคล้นและลูบไล้ไปทั่วร่างกาย เช่นกันก็ทรมานจนอูจินจิกกำผ้าปูเตียงไม่รู้ตัว ใจจดใจจ่อกับการห้ามเสียงร้องที่รั้งจะหลุดออกไปตามสัญชาตญาณ เขาหลับตาแน่น เพราะการที่มองมินฮยอนค่อยๆ เคลื่อนตัวลงต่ำก็ยิ่งทำให้เขาปั่นป่วนจนแทบทนไม่ไหว แต่นั่นยิ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิด เพราะการมองไม่เห็นยิ่งทำให้สัมผัสทุกอย่างเด่นชัด ริมฝีปากคนโตกว่าที่ดูดดึงผิวเนื้อหน้าท้องให้ความรู้สึกเหมือนเหล็กร้อน ลมหายใจเขาขาดห้วง เขาสะกดกลั้นมันไว้พร้อมๆ กับเสียงคราง
            “หายใจ ที่รัก” มินฮยอนพูดขึ้นอีกครั้ง รู้ดีทั้งที่ลงไปสาละวนอยู่กับเรียวขาคนที่นอนหมดแรงอยู่แท้ ๆ “อย่าเล่นตุกติกกับพี่”
            อูจินได้ยินดังนั้นก็ตัวสั่น อ้าปากกอบโกยอากาศเหมือนคนจมน้ำ ขาเขากระตุกเมื่อริมฝีปากคนด้านล่างดูดดึงซอกขาด้านใน แน่นอนว่าใจร้ายละส่วนที่ควรแตะต้องที่สุดไว้อย่างน่าสงสาร เขาทั้งโกรธทั้งรำคาญ ทั้งต้องการจนแทบนอนนิ่งๆ ไม่ได้
            “พี่...พี่ครับ ขอร้อง”
            มินฮยอนชะงัก “พี่บอกว่ายังไง?”
            อูจินตัวแข็ง
            “เรามีสิทธิอ้าปากขอด้วยเหรอตอนนี้ หืม?” อีกฝ่ายเหยียดตัวขึ้น จากมุมนี้เหมือนว่าดวงตานั้นมองลงมายังเขาเหมือนมองมดตัวเล็กจ้อย ฝ่ามือนั้นลูบอยู่บนต้นขา ไล้ไปมาจนอูจินต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ มินฮยอนทำให้เขาเคยตัวเสียแล้ว เพียงสัมผัสแค่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกดีแทบแย่
             “ทำไมไม่เชื่อฟังกันเลย”
            “...”
            “พี่ว่าพี่ก็ใจดีมากแล้วนะ” มือนั้นลากไล้ขึ้นมาจนถึงสะโพก ออกแรงกดปลายนิ้วจนผิวเนื้อบุ๋ม ใจเขากระตุก “ทั้งที่นายสมควรจะนอนพาดอยู่บนตักพี่ตอนนี้แล้วแท้ๆ”
            เขากลืนน้ำลายเหนียวหนืดคอ ห้ามไม่ได้ที่จะไม่ให้ตัวสั่น
            “หรือเพราะถูกตามใจมากไป?” มินฮยอนหลุบมองมือบนสะโพกเขา “พี่ตามใจนายจนเหลิงเหรอ”
            เขาซวยแน่
            อูจินยังจำผลของครั้งล่าสุดที่เขาทำตัวไม่ดีได้ – สิบหกครั้ง สิบครั้งเป็นฝ่ามือ หกครั้งเป็นเข็มขัด เขานั่งดีๆ ไม่ได้เป็นวัน
            “ข..ขอโทษครับ”
            รู้ตัวอีกทีอูจินก็พลั้งออกไปเสียงสั่น ก่อนจะนึกได้ เวรเอ้ย เขาต้องเงียบ
            มินฮยอนมองเขา ด้วยสายตาจากคนเหนือกว่าที่ทำให้คนข้างใต้เหมือนอยู่ในภาวะสุญญากาศ เขาเหมือนเด็กที่กลัวว่าผู้ปกครองจะทำโทษ ได้แต่นอนนิ่งกลั้นใจด้วยใจระส่ำ แต่ในขณะที่หวาดหวั่นอยู่นั้น แรงกดบนสะโพกก็หายไป ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเข็ดขัดรูดหูกางเกง
            อูจินกลืนน้ำลายเมื่อคนเป็นพี่ถือเข็มขัดหนังมันปลาบไว้ในมือ
            ฉิบหาย
            มินฮยอนโยนมันทิ้งไปอีกทาง เสียงมันกระทบสักที่ที่มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ ทำให้เขาเกือบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก มินฮยอนยังไม่ละสายตาไปไหน อีกฝ่ายช่างใจร้าย เพียงแค่ปลดกระดุมกางเกงแล้วรูดซิปลงเท่านั้น แต่อูจินเองที่เปลือยเปล่าเปิดเผยให้อีกคนเห็นทั้งเนื้อตัว
            “มานี่”
            มินฮยอนสั่ง แล้วเขาก็ไม่กล้ารีรอที่จะหยัดตัวขึ้น เปลี่ยนท่าเป็นนั่งทับส้นเท้าโดยมีร่างของมินฮยอนตระหง่านท่วมหัว คนเด็กกว่าได้แต่มอง ยังคงเฝ้ารออย่างใจเย็นถึงสิ่งต่อไปที่อีกคนจะให้ทำ ดวงตาเรียวเฉี่ยวของอูจินช้อนมองคนโตกว่าเหมือนเด็กรออนุญาตผู้ปกครองให้ทานขนมหวานได้
            “ถ้าไม่ไหว รู้ใช่มั้ยว่าต้องพูดว่าอะไร ทำยังไง” เสียงอีกฝ่ายแหบต่ำลงกว่าทุกครั้ง
            เซฟเวิร์ดคือคำว่ามารูน ท่าทางคือไขว้นิ้วเป็นกากบาท เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก อูจินพยักหน้า ใบหูเขาเห่อร้อน จริงๆ แล้วเขาควรจะรู้สึกอับอาย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนลึกในจิตใจ เขาเองก็ต้องการสิ่งนี้ไม่น้อยกว่ามินฮยอน
            “อ้าปาก”

*******
            ไม่ใช่ครั้งแรก, แต่ก็ไม่เคยจะชินได้สักที
            กรามของเขาเริ่มจะปวด ในตอนที่พยายามอย่างยิ่งที่จะหายใจทางจมูกและรับตัวตนคนด้านบนอย่างเต็มที่ เขาไม่เคยเก่งเรื่องนี้สักที ในตอนที่รู้สึกถึงส่วนปลายในลำคอก็ได้แต่สำลักจนต้องผละออกมาน้ำตารื้น มินฮยอนดุเขาอีกครั้ง เหนือกว่าความกลัวว่าอีกคนจะลงโทษคือกลัวว่าเขาจะทำให้อีกคนรู้สึกไม่ดี เขาจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะผ่อนคลายขากรรไกร รับมันเข้าไปสุดความยาวอย่างเต็มที่
            เสียงครางของคนด้านบนส่งผลรุนแรงมาถึงเขา หัวใจอูจินพองโตเหมือนได้รับคำชม ปลายลิ้นเขาไล้ตวัด มือของมินฮยอนกำแน่นในเส้นผมของเขา ดึงทึ้งเบาๆ ในตอนที่สวนสะโพกเข้ามาพร้อมกับครางครึม ร่างกายอูจินร้อนและวาบวามราวกับเป็นตัวเขาเองที่ได้รับการปรนเปรอ กลางกายอึดอัดจนทรมาน จนได้แต่ป่ายมือสาวรูดตัวเองเพื่อหวังบรรเทามันลงได้บ้าง แต่ก็ต้องสะดุ้งจนเกือบสำลักเมื่อมินฮยอนขยับใช้เท้าปัดมันทิ้ง
            “อย่านิสัยเสีย” คนด้านบนเอ่ยเสียงเข้ม “พี่อนุญาตนายแล้วเหรอ”
            ส่วนนั้นยิ่งดันลึกเข้ามา จนเขาต้องส่งมือวางบนหน้าขาอีกคนไว้ แต่เพียงวางไว้เท่านั้น ไม่กล้าที่จะยันออก เสียงลามกดังชัดเจนทั่วห้อง
            “ทำไมเหรอครับ” อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงใจดีที่ชอบใช้ “ทนไม่ไหวแล้วเหรอ”
            มินฮยอนให้โอกาสเขาผละออกมาหายใจ แรงดึงเบาๆ บนเส้นผมเหมือนกระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปจนถึงส่วนนั้นของเขา อูจินเกือบจะหลุดคราง เขาหลับตาเมื่อส่วนฉ่ำแฉะถูไถไล้เลอะข้างแก้มและมุมปาก ใบหน้าเขาเห่อร้อน แยกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะแรงอารมณ์หรือความอับอาย เขาอ้าปากรับมันเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้จังหวะสะโพกอีกฝ่ายถี่รัวจนปากเขาเริ่มแสบ
            “ได้ทำแบบนี้กับมันทำให้นายมีอารมณ์ใช่มั้ย ดูท่าทางนายชอบนะ” เสียงนั้นพูดปะปนกับการหอบเอาอากาศหายใจ ต้นขาอีกฝ่ายใต้มือที่เขาวางอยู่เริ่มเกร็งเขม็งตึง อูจินรู้ว่าอีกคนใกล้แล้ว
            และไม่นานเลยก่อนที่เสียงครางต่ำลากยาวจะตามมา มินฮยอนทะลักทลายพร้อมกับกดท้ายทอยตรึงเขาไว้จนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลืน ความอับอายและความพอใจปะปนกันจนเขาหัวหมุน น้ำตาหยดหนึ่งกลอกกลิ้งลงมาตามข้างแก้มเขา ในตอนที่ผละออกมาไอค่อกแค่กเพราะสำลัก กลางกายเขาปวดแทบระเบิด หวังเพียงสัมผัสน้อยนิดคลายทรมาน
            มินฺฮยอนหอบหายใจอยู่พักหนึ่ง มองคนเด็กกว่าที่ยังคงนั่งทับส้นเท้าใช้หลังมือเช็ดคราบเปรอะเปื้อนและไล้เลียจนหมดจด อูจินรู้ว่ามินฮยอนไม่ชอบให้เลอะเทอะ
            “มานี่มา”
            คนโตสุดในห้องพูดขึ้นหลังจากที่ขยับไปนั่งพิงหัวเตียง คนเด็กกว่าพอได้ยินดังนั้นก็ค่อยคลานเข้าไปหาอย่างหยั่งเชิง จนมินฮยอนต้องเป็นฝ่ายดึงคนมานั่งซ้อนหลัง แผ่นหลังสีแทนเปลือยเปล่าเบียดกับผิวเสื้อเชิ้ตของมินฮยอน ลมหายใจอีกฝ่ายเป่ารดบริเวณข้างลำคอ อูจินรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า ยิ่งในตอนที่อีกคนส่งมืออ้อมมาสัมผัสตัวตนที่ฉ่ำเยิ้มของเขาแล้ว
            “ดูนายสิ” เสียงนั้นกระซิบอยู่ข้างหู “เป็นถึงขนาดนี้แล้ว ทั้งที่พี่ยังไม่ทันทำอะไรนายเลย”
            อูจินกัดปาก เขาท่องว่าเงียบไว้ เงียบไว้ ราวกับท่องมนตราจนไม่มีเวลาคิดอย่างอื่น ดังนั้นขาเขาจึงขยับตั้งอ้ากว้างอย่างเผลอไผล เปิดทางเพื่อต้อนรับให้ฮวังมินฮยอนสัมผัสได้ทุกตารางนิ้ว
            มินฮยอนหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อเห็นแบบนั้น “แก่แดด”
            มือนั้นบดขยี้ส่วนปลายและรูดรั้งจนอูจินตัวเกร็งไปถึงปลายเท้า เขาเผลอดิ้นขลุกขลักเล็กน้อยเพราะความเสียวซ่านแต่ไร้ที่ระบายอารมณ์ ได้แต่กัดปากแล้วก่นด่าคนโตกว่าว่าใจร้าย ใจร้าย มืออีกข้างของคนด้านหลังส่งมารัดรอบเอวเขาไว้ให้อยู่นิ่ง
            “ฮื่อ”
            “เงียบ”
            ใจร้าย ใจร้าย
            อูจินหลับตาแน่น ตัวอ่อนเหลวไร้เรี่ยวแรงจนได้เอนศีรษะพิงบ่าคนด้านหลังไว้ ปล่อยให้มือนั้นละจากกลางกายไล้นวดเฟ้นไปตามต้นขา ก่อนจะต่ำลง..ต่ำลงจนอูจินสะดุ้งเฮือก
            “เหมือนตรงนี้มันจะอยากได้อะไรนะ” ลมหายใจเป่าข้างหูเขาเมื่ออีกคนหันมากระซิบชิด “แต่โทษทีนะ คงไม่ใช่คืนนี้”
            เรียวขาเขากระตุก สัมผัสที่เด่นชัดเมื่อหลับตายังคงวนเวียนอยู่ตรงนั้นจนคนเด็กกว่าได้แต่เกร็งเพราะทรมาน หงุดหงิดที่อีกคนไม่ปลดปล่อยกันสักที ขณะเดียวกันเสียวซ่านจนต้องกัดปากตัวเองไว้
            “นายก็ไม่สมควรจะได้รับมันอยู่แล้ว จริงมั้ย?”
            ห้ามร้อง เงียบไว้ อูจิน
            “แต่พี่ก็โกรธนายได้ไม่นานหรอกที่รัก จะโกรธได้ยังไงในเมื่อนายกลายเป็นเด็กไม่ดีเพราะหวงพี่”
            มืออีกข้างละจากเอวของเขา ก่อนที่อูจินจะรู้สึกถึงปลายนิ้วที่เกลี่ยและเล่นกับเส้นผมต้นคอในแบบที่รู้ว่าเขาจะชอบ ใจเขาพองโต ความรู้สึกดีเริ่มทำหัวสมองเขามึนงงอีกครั้ง
            “สาบานเลย ว่าถ้าพรุ่งนี้นายไม่ต้องไปไหนตั้งแต่เช้า พี่จะทำนายจนลุกขึ้นไม่ไหว”
            “อา..”
            “ชู่...” อีกฝ่ายปราม “พี่บอกว่ายังไงครับ อย่าให้ต้องย้ำได้มั้ย” ฝ่ามือนั้นวนกลับมาเล่นกลางกายเขาอีกครั้ง คราวนี้รูดรั้งมันรัวเร็วราวกับจะแกล้ง อูจินเผยอปาก เกือบจะหวีดร้อง เขาผวาคว้าข้อแขนอีกคนไว้อย่างต้องการที่พึ่ง หลับตาแน่น ในความมืดมิดนั้นเขาหวังเพียงจะได้เห็นดวงดาวสักที
            “หรือนายชอบเวลาที่คนอื่นได้ยินเสียงตัวเองร้องคราง เวลาที่พี่สัมผัสนายแบบนี้ อยากเรียกให้คนอื่นมาเห็นเราในสภาพนี้ใช่มั้ย ว่านายทั้งพร้อมและต้องการพี่แค่ไหน” ริมฝีปากนั้นพูดไปก็พรมจูบไปตามลำคอ“พนันเลยว่านายคงชอบ”
            ห้ามร้อง เงียบไว้ อย่าส่งเสียง ห้าม เงียบ. เงียบ. เงียบ-----
            “พัคอูจิน” เสียงนั้นดังขัดขึ้นมาในห้วงความคิด ทรงอำนาจจนหัวสมองเขาว่างเปล่า “หาย - ใจ”
            อูจินไม่รู้ว่าเขากลั้นหายใจไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้ตัวอีกทีก็ในตอนที่มือหนาโอบรอบลำคอเขาไว้ “หรืออยากให้พี่ช่วย?”
            ฮวังมินฮยอนรู้ดีเสมอว่าต้องจัดการกับเขายังไง รู้ดีว่าเขามีส่วนไหนที่แตกร้าว รู้วิธีว่าควรจะกระตุ้นและทำลายและปล่อยให้เขาร่วงหล่นลงในแรงโน้มถ่วงของตัวเองอย่างไร รู้วิธีที่ค่อยคืบคลานเข้ามาทีละนิดและเข้ายึดครองทั้งหมดในคราวเดียว
            อูจินเชิดหน้าขึ้น เผยลำคอสีน้ำผึ้งนวลเนียนล้อแสงไฟ แววตาของคนโตกว่าเป็นประกายเข้ม เช่นกันฮวังมินฮยอนก็เป็นคนเดียวที่รู้ดียิ่งกว่าใครว่าส่วนลึกในใจอะไรคือสิ่งที่อูจินต้องการ
            “เข้า”
            คำสั่งแรก – อูจินสูดอากาศเข้าเต็มปอด ก่อนฝ่ามือรอบลำคอจะค่อยๆ บีบรัดจนแน่น มืออีกข้างของมินฮยอนบดขยี้ส่วนปลายและสาวรูดตัวตนของเขาจนความรู้สึกไหลปราดไปทั่วร่าง ข้างในร่างกายเขาร้อนรุ่มเหมือนลาวาเดือดปุด
            “กลั้นไว้คนดี ทำให้พี่ได้มั้ย”
            แผดเผา หลอมละลาย
            “ออก”
            ฝ่ามือนั้นผ่อนคลาย อูจินหายใจออกจนเกือบเรียกได้ว่าหอบ ร่างกายเขาไม่มีแรงเหมือนไร้กระดูก มินฮยอนหยุดมือที่ปรนเปรอเขาไว้ แต่ไม่ปล่อยให้เขาพักนาน
            “เข้า”
            อูจินผวาหอบเอาอากาศเข้าอีกครั้ง ฝ่ามือรอบลำคอให้ความรู้สึกยากจะอธิบาย หัวสมองเขาพร่าเบลอเหมือนหมอกควันในตอนที่มินฮยอนพรมจูบไปมาตามเสี้ยวหน้าและขยับมือสัมผัสเขารัวเร็วอีกครั้ง กล้ามเนื้อทั่วสรรพางค์กายเขาเขม็งเกร็ง
            “ยัง อูจิน ยังไม่ใช่ตอนนี้” มินฮยอนเหมือนจะรู้ “จนกว่าพี่จะบอก”
            ปอดเขาเหมือนจะระเบิด เหมือนว่าเขากำลังจมดำดิ่งลงไปใต้มหาสมุทร ลึกลงไป... ลึกลงไป...
            “ออก”
            “ฮ่า” ฝ่ามือนั้นคลายเป็นเวลาเดียวกับที่อูจินหายใจออกแล้วหอบจนตัวโยน ตาเขาเริ่มจะลาย ในหัวสมองไม่รับรู้อะไรนอกจากจูบของมินฮยอนที่กดลงเบาที่ข้างแก้ม
            “เก่งมาก” เหมือนสายไหมหวานละลายในอกตอนที่มินฮยอนกระซิบ “ทำดีแล้วที่รัก อีกสักครั้งนะ”
            หัวใจคนเด็กกว่าพองโต เรียกเขาอย่างนั้นอีก ชมเขาอีก
            “เชื่อใจพี่มั้ยครับ”
            มินฮยอนกระซิบ เขาพยักหน้า รอยยิ้มบางเบาประดับบนใบหน้าพี่ชายแสนดี
            “เข้า”
            เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ฝ่ามือรัดแน่น ฝ่ามือปรนเปรอรูดรั้ง ลาวา ร้อนรุ่ม แผดเผา ถ้อยคำกระซิบแผ่วเบา ดวงตาเขาพร่าเบลอ อีกนิด คนเก่ง เราทำดีแล้ว อีกนิดนะ
            ในตอนที่กล้ามเนื้อทั่วร่างเขม็งเกร็ง ปลายนิ้วที่เกาะแขนคนด้านหลังจิกลงจนเลือดซิบ
            มินฮยอนพูด
            “ตอนนี้แหละคนดี”
            หัวสมองเขาขาวโพลน ร่างกายเขากระตุกอย่างแรง ทุกอย่างถูกปลดปล่อยออกมามากมายก่อนที่อูจินจะมองเห็นดวงดาวพร่างพรายปรากฎขึ้นหลังม่านตา
            ความทรงจำสุดท้ายของเขาเลือนรางเหมือนม่านหมอก เขาครางรับเหมือนคนไม่มีสตินัก ในตอนที่ความชื้นของริมฝีปากพรมจูบไปทั่วแล้วกระซิบถามอย่างอบอุ่น
            “ยังอยู่กับพี่มั้ย คนดี”
            “....ครับ”
            เสียงเดิมนั้นยังคงกระซิบไม่หยุด เช่นกันกับรอยจูบแสนรู้สึกดีที่ทำให้จั๊กจี้ เปลือกตาเขาพริ้มลง เหนื่อยอ่อนจนจะหลับในไม่ช้า ซุกซบเข้าหาอะไรก็ตามที่อยู่ใกล้
            ความทรงจำสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ก่อนภาพมืดดำคือความอบอุ่นของอ้อมแขนที่คุ้นเคย และเสียงกระซิบเดิม
            “เก่งมาก เราเก่งมาก”
            “น่ารักมาก”
            “คนเก่ง”
            “พี่จะไปเตรียมน้ำอุ่นๆ ให้เราอาบนะครับ”
            “คิดถึงเราเป็นบ้าเลย”
            เขาแตกสลาย ร่วงหล่น และถูกประกอบขึ้นมาใหม่อีกครั้งภายใต้แรงดึงดูดเดียวของฮวังมินฮยอน
            “...ครับ ....ผมก็เหมือนกัน”



#edenfic


มี bgm ด้วยเหวย
ยังคงพยายามจะมีธีม แน่ะ ทำมาเปง
เปล่า ไม่มีอะไรเหมือนเดิม เน้นบาป555555555555 
ไม่รู้ควรพูดอะไร ฮือ เอาเป็นว่าเราเปิดให้คอมเม้นแบบ anonymous ได้นะคะ แต่ถ้าไม่สะดวกก็ที่เดิมเลยติดแท็ก #edenfic
ขอบคุณทุกคนค่ะ แง้

2 comments:

  1. คือมันบั่บๆๆๆๆ อูจินนน พี่มินฮย้อนนนน >////< 2 คนนี้ต้องมาไทป์นี้สินะ แงงงง อารมณ์คุณอากับหลาน พี่มินฮยอนไทป์ผู้ชายเพอร์เฟ็คคุณชายใจดี ส่วนน้องอูจินเป็นเด็กดื้ออะไรแนวๆนี้ คืออ่านไปต้องกลั้นหายใจไปด้วยเลยค่ะ ฮืออออ น้องแบบขัดขืนไม่ได้เลย เป็นเด็กน้อยในโอวาทของพี่เค้า ฮือออออ /สูดดยาดม

    ReplyDelete
  2. ไม่เคยใช้เวลาอ่านฟิคนานขนาดนี้มาก่อนเลยค่ะ ฮือ ชอบมาก แบบมากๆ ขอบคุณนะคะ /หอบ

    ReplyDelete